ปัญหาชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” (Sea of Japan)
แนวความคิดพื้นฐานของประเทศญี่ปุ่น
“ทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan)” เป็นเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ถูกตั้งขึ้นโดยนานาประเทศเพื่อระบุบริเวณทะเลญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นยืนกรานและคัดค้านการโต้แย้งซึ่งไม่อยู่บนหลักเหตุผลเกี่ยวกับชื่อทะเลญี่ปุ่น และเรียกร้องให้นานาประเทศเข้าใจปัญหานี้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งให้การสนับสนุนจุดยืนของประเทศญี่ปุ่น เพื่อยึดมั่นและดำรงไว้เพียงชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จุดยืนของประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นที่ยอมรับในองค์การระหว่างประเทศจำนวนมาก รวมไปถึง องค์การสหประชาชาติ1. ปัญหาชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” โดยสังเขป
ทะเลญี่ปุ่น คือ พื้นที่ทางทะเลบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย โดยมีหมู่เกาะต่างๆของประเทศญี่ปุ่น และเกาะซาคาลิน เป็นจุดแบ่งแยกพื้นที่ทางทะเลออกจากตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก
ในทางประวัติศาสตร์ ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ได้ถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคยุโรป ในช่วงระหว่างปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 และถูกใช้เรื่อยมาโดยตลอดอย่างยาวนานกว่า 200 ปี นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่า โดยส่วนใหญ่ เมื่อทะเลถูกแบ่งแยกพื้นที่ออกจากมหาสมุทร การตั้งชื่อมักจะตั้งตามเกาะที่สำคัญหรือคาบสมุทรบริเวณรอบๆ ที่เป็นจุดแบ่งเขต ชื่อของ “ทะเลญี่ปุ่น” ก็มาจากจุดเด่นทางสภาพภูมิศาสตร์ที่สำคัญโดยรอบ โดยหมู่เกาะต่างๆของประเทศญี่ปุ่นได้แบ่งแยกพื้นที่ทางทะเลนี้ออกจากตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งหมู่เกาะเหล่านี้เป็นสภาพแวดล้อมที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเกิดพื้นที่ทะเลแห่งนี้ ด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนเช่นนี้ ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” จึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบัน มากกว่า 97% ของแผนที่ซึ่งใช้กันในแต่ละประเทศทั่วโลก ใช้เพียงแค่ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นชื่อที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในนานาประเทศเท่านั้น ยกเว้นแค่ในประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ
แต่ทว่า ในปี ค.ศ. 1992 ในการประชุมครั้งที่ 6 ของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ (The Sixth United Nations Conference on the Standardization of Geographical Names: UNCSGN) ประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือได้ยื่นมติเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อของ “ทะเลญี่ปุ่น” ขึ้นอย่างกระทันหัน ภายหลังยังมีความพยายามในการยื่นข้อเสนอกรณีนี้ ในการประชุมระดับนานาชาติอีกหลายครั้ง เช่น ในการประชุมของสหประชาชาติ และการประชุมขององค์การอุทกศาสตร์สากล (International Hydrographic Organization: IHO) เป็นต้น ประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือต่างอ้างว่า ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เพิ่งเริ่มต้นใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นผลมาจากลัทธิขยายอาณาเขตและลัทธิอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ ประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือจึงยืนกรานให้เปลี่ยนชื่อทะเลบริเวณนั้น เป็น “ทะเลตะวันออก (East Sea)” เช่นเดียวกับที่ประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือใช้ หรืออย่างน้อยที่สุดให้กำหนดใช้ทั้งชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” กับ “ทะเลตะวันออก” ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือนั้นไม่มีหลักการรองรับ จึงเป็นความพยายามที่ศูนย์เปล่าอย่างยิ่ง
2. การคัดค้านของประเทศเกาหลีใต้อันปราศจากหลักเหตุผล
(1) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากบางประเทศคัดค้านการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” แต่เพียงชื่อเดียวมาโดยตลอด
ในปี ค.ศ. 1992 ประเทศเกาหลีใต้เริ่มเรียกร้องและคัดค้านการใช้ชื่อเรียก “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นครั้งแรกในการประชุมครั้งที่ 6 ของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ โดยก่อนหน้านั้น ทั้งในการเจรจาทวิภาคี หรือในที่ประชุมของสหประชาชาติ ต่างก็มิได้มีการคัดค้านการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” แต่อย่างใด แต่ทว่า ประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมายืนกรานและเรียกร้องอย่างกระทันกันในภายหลังว่า ให้มีการกำหนดชื่อใหม่โดยให้เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” แทนด้วยชื่อ “ทะเลตะวันออก” แต่เพียงอย่างเดียว หรือ ให้กำหนดชื่อ “ทะเลตะวันออก” ร่วมไปกับการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ด้วย
(2) การอ้างสิทธิ์อันปราศจากหลักเหตุผล
ก. ข้อกล่าวอ้างของประเทศเกาหลีใต้ : “การใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” อย่างแพร่หลาย นั้นเป็นผลมาจากลัทธิขยายอาณาเขตและลัทธิอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่น
จากผลสำรวจแผนที่ทางประวัติศาสตร์ของรัฐบาลญี่ปุ่นพบข้อเท็จจริงว่า ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากกว่าชื่ออื่นๆ มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งในช่วงสมัยนี้ ประเทศญี่ปุ่นยังคงอยู่ภายใต้นโยบายปิดประเทศ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะใช้อิทธิพลอำนาจใดๆในการริเริ่มกำหนดชื่อเรียก “ทะเลญี่ปุ่น” ขึ้นมาได้ ดังนั้นการที่ประเทศเกาหลีใต้ ยืนกรานว่า การใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” อย่างแพร่หลาย นั้นเป็นผลมาจากลัทธิขยายอาณาเขตและลัทธิอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่นในช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 จึงไม่สมเหตุสมผลยิ่ง นอกจากนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศผลสำรวจ อันสามารถตีความได้ว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยอมรับว่า ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” นั้นมิได้เป็นผลมาจากลัทธิขยายอาณาเขตและลัทธิอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่นแต่อย่างใด ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ ในหัวข้อที่ 2. (3)ข. ข้อกล่าวอ้างของประเทศเกาหลีใต้ : “ในช่วงเวลา 200 ปีที่ผ่านมา มีการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” มาโดยตลอดในบริเวณคาบสมุทรเกาหลี”
ประเทศเกาหลีใต้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่า มีการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 200 ปี ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศเกาหลีใต้ จะยังคงใช้ชื่อ ทะเลตะวันออก” อยู่ก็ตาม แต่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชื่อ “ทะเลตะวันออก” เป็นเพียงการใช้ชื่อเรียกภายในระดับท้องถิ่นของประเทศเกาหลีใต้เท่านั้น ในขณะเดียวกัน ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” นั้นเป็นเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมาอย่างยาวนานในระดับนานาประเทศค. ข้อกล่าวอ้างของประเทศเกาหลีใต้: “องค์การสหประชาชาติ และองค์การอุทกศาสตร์สากล ได้ลงมติกำหนดให้มีการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” ร่วมกับชื่อ ทะเลญี่ปุ่น”
ประเทศเกาหลีใต้ ยืนกรานว่า องค์การสหประชาชาติ และองค์การอุทกศาสตร์สากล ได้ลงมติสนับสนุนให้มีการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” ร่วมกับชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” อย่างไรก็ดี ตามมติ III/20 ในการประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ และมติพิเศษ A.4.2.6 ขององค์การอุทกศาสตร์สากล ต่างไม่ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่าให้มีการกำหนดชื่อ “ทะเลตะวันออก” ร่วมกับ “ทะเลญี่ปุ่น” ยิ่งไปกว่านั้น มติดังกล่าวเป็นการสันนิษฐานในเรื่องของบริเวณอ่าวและช่องแคบที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของสองประเทศขึ้นไป ไม่เหมาะสมกับการที่จะนำมาใช้กับกรณี “ทะเลญี่ปุ่น” อันเป็นน่านน้ำสากล หากประเทศใดๆก็ตามซึ่งมีชายฝั่งติดอยู่กับ “มหามุทรแอตแลนติก” หรือ “มหาสมุทรแปซิฟิก” หยิบยกประเด็นการคัดค้านการใช้ชื่อเรียกทะเลทั้งสองนี้ขึ้นมาดังเช่นที่ประเทศเกาหลีใต้ได้หยิบยกขึ้นมากล่าวอ้าง จะนำไปสู่การใช้ชื่อที่หลากหลายและยากต่อจัดการและควบคุม ซึ่งประชาคมโลกย่อมไม่สามารถยอมรับข้อกล่าวอ้างเช่นนี้ได้นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติมีนโยบายใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นมาตรฐานชื่อเรียกทางภูมิศาสตร์ในเอกสารอย่างเป็นทางการขององค์การสหประชาชาติทั้งหมด ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อที่ 4. ในขณะเดียวกันองค์การอุทกศาสตร์สากล ใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เพียงชื่อเดียวในการระบุอาณาเขตทางทะเลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้ในบรรณสารแนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลและมหาสมุทร “The Limits of Oceans and Seas (S-23)” ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีมติใดขององค์การสหประชาชาติหรือองค์การอุทกศาสตร์ที่กำหนดให้มีการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” ร่วมกับ “ทะเลญี่ปุ่น”
ง. ผลการสำรวจอันขาดความน่าเชื่อถือของประเทศเกาหลีใต้
(ก.) ผลสำรวจของประเทศเกาหลีใต้รวม “Oriental Sea” และ “ทะเลเกาหลี (Sea of Korea)” เข้าด้วยกันและเป็นส่วนหนึ่งของ “ทะเลตะวันออก”ประเทศเกาหลีใต้ อ้างถึงผลการสำรวจแผนที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจัดทำโดยสมาคมเพื่อทะเลตะวันออก (Society for East Sea) ในปี ค.ศ. 2004 ว่า “ทะเลตะวันออก” เป็นชื่อทางการซึ่งหมายความครอบคลุมไปถึง “Oriental Sea” และ “ทะเลเกาหลี” ด้วย นอกจากนี้ มีการเปรียบเทียบจำนวนของแผนที่ที่มีการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” กับจำนวนแผนที่ที่ใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” แต่ “ทะเลเกาหลี และ “ทะเลตะวันออก” นั้นเป็นชื่อเรียกที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อ “Oriental Sea” และ “ทะเลตะวันออก” ก็มีที่มาและความหมายอันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ชื่อเรียก “Oriental Sea” นั้นเป็นการพูดถึงทะเลที่อยู่ทางตะวันออกจากมุมมองของประเทศทางตะวันตก ในขณะที่ “ทะเลตะวันออก” นั้นหมายถึงทะเลที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี
(ข.) ผลสำรวจในรูปแบบเดียวกันของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเนื้อหาที่ครอบคลุมมากกว่าผลสำรวจของประเทศเกาหลีใต้
ประเทศญี่ปุ่นได้สำรวจศึกษาแผนที่ทางประวัติศาสตร์ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส (Bibliotheque Nationale de France) จากแผนที่ทั้งหมด 1,495 แผนที่ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อที่ 5) ในขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งได้มีการสำรวจจากสถาบันเดียวกัน ได้มีการศึกษาจากแผนที่จำนวน 515 แผนที่ หรือโดยประมาณ 1 ใน สาม ของการสำรวจของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ดังนั้นจึงได้ผลการสำรวจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แสดงให้เห็นว่าการสำรวจของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเนื้อหาที่ครอบคลุมมากกว่า
(3) รัฐบาลเกาหลีใต้ ได้ตีพิมพ์ผลการสำรวจซึ่งสามารถตีความได้ว่าเป็นการเพิกถอนข้ออ้างการใช้สิทธิ์ของตน เมื่อไม่นานมานี้
National Geographic Information Institute (NGII) อันเป็นหน่วยงานของกระทรวงการก่อสร้างและคมนาคม (ซึ่งในปัจุจบันคือ กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐานและคมนาคม) ได้ตีพิมพ์ผลการสำรวจแผนที่ทางประวัติศาสตร์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซึ่งแม้จะยังคงมีข้อผิดพลาดเหมือนดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อที่ 2. (2) ง. ข้างต้น แต่สิ่งที่น่าสังเกต คือ รายงานซึ่งมีการระบุว่า “การใช้ชื่อ ทะเลญี่ปุ่น นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 (ตั้งแต่ปีค.ศ. 1830 เป็นต้นมา)” แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของประเทศเกาหลีใต้ในข้ออ้างตาม ข้อที่ 2.(2) ก. ที่ว่า การใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” นั้นเป็นผลมาจากลัทธิขยายอาณาเขตและลัทธิอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่น และตีความได้ว่าเป็นการยอมรับชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ว่ามีการใช้ชื่อนี้อย่างแพร่หลายมานานก่อนยุคการปกครองแบบอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่นในคาบสมุทรเกาหลี3. การคัดค้านของประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นยืนกรานอย่างหนักแน่นที่จะคัดค้านข้อการกล่าวอ้างเหล่านี้
ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้โต้แย้งการใช้ชื่อ “ทะเลตะวันออก” กันเองเพียงภายในประเทศเกาหลีใต้ แต่ทว่า ประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถยอมรับ การเคลื่อนไหวเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ที่ใช้กันอยู่ในประชาคมโลก ให้เป็น “ทะเลตะวันออก” ซึ่งจะก่อความสับสนวุ่นวาย และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการสัญจรทางทะเลระหว่างประเทศ “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นเพียงแค่ชื่อเดียวเท่านั้นที่ถูกตั้งขึ้นโดยสากล และไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับการโต้แย้งใดๆ ประเทศญี่ปุ่นยังคงยืนกรานที่จะคัดค้าน หากประเทศเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือกล่าวอ้างกรณีนี้ โดยใช้พื้นที่การประชุมในระดับนานาชาติ เช่น การประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ หรือการประชุมขององค์การอุทกศาสตร์สากล เป็นต้น1. การตอบโต้ของประเทศญี่ปุ่นในการประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ (United Nations Conference on the Standardization of Geographical Names: UNCSGN) และการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติด้านชื่อภูมิศาสตร์ (United Nations Group of Experts on Geographical Names : UNGEGN)
- การประชุมครั้งที่ 10 ของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ (สิงหาคม ค.ศ. 2012)
- การประชุมครั้งที่ 9 ของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ (สิงหาคม ค.ศ. 2007)
- กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติด้านชื่อภูมิศาสตร์ ครั้งที่ 23 (มีนาคม ค.ศ. 2006)
- กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติด้านชื่อภูมิศาสตร์ ครั้งที่ 22 (เมษายน ค.ศ. 2004)
- การประชุมครั้งที่ 8 ของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรฐานของชื่อภูมิประเทศ (สิงหาคม-กันยายน ค.ศ. 2002)
2. การตอบโต้ของประเทศญี่ปุ่นในการประชุมขององค์การอุทกศาสตร์สากล (International Hydrographic Organization: IHO)
1. องค์การอุทกศาสตร์สากล (International Hydrographic Organization: IHO)
องค์การระหว่างประเทศ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1921 มีสมาชิก 85 ประเทศ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในราชรัฐโมนาโก ดำเนินกิจกรรมทางด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์เพื่อจัดทำบรรณสารการเดินเรือ (เช่น แผนที่ทางทะเล รายชื่อประภาคาร เป็นต้น) ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้มากที่สุด อีกทั้ง ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีในงานอุทกศาสตร์ และวิธีการสำรวจทางอุทกศาสตร์2. บรรณสารแนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลและมหาสมุทร (Limits of Oceans and Seas)
บรรณสารที่จัดทำขึ้นโดยองค์การอุทกศาสตร์สากล เพื่อใช้เป็นคู่มือ ซึ่งระบุแนวเส้นแบ่งเขตทางทะเล รวมถึงชื่อทะเลและมหาสมุทร เพื่อองค์การทางอุทกศาสตร์ของแต่ละประเทศจะนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำแผนที่ทางทะเล
2) 1) บรรณสารแนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลและมหาสมุทร (Limits of Oceans and Seas)ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น”
บรรณสารแนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลและมหาสมุทร ตั้งแต่ฉบับแรกที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1929 จนถึงฉบับปัจจุบัน ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1953 ใช้เพียงแต่ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นโดยนานาประเทศเท่านั้น
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา ประเทศเกาหลีใต้ พยายามเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เป็น “ทะเลตะวันออก” หรือใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” และ “ทะเลตะวันออก” ร่วมกัน ทั้งในแผนที่ทางราชการและแผนที่ซึ่งจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปของแต่ละประเทศ รวมไปถึงแผนที่ขององค์การระหว่างประเทศ หลังจาก ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา ประเทศเกาหลีใต้ยังคงยื่นข้อเสนอดังกล่าวในการประชุมขององค์การอุทกศาสตร์สากล อย่างต่อเนื่อง
3) การประชุมขององค์การอุทกศาสตร์สากล
จัดขึ้นทุก 3 ปี ในครั้งต่อไปมีกำหนดจึดขึ้นเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 ณ ราชรัฐโมนาโก
4) สถานการณ์ในปัจจุบันและการรับมือของประเทศญี่ปุ่น
ประเทศเกาหลีใต้ได้เรียกร้องในกรณีชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” แต่ทว่า ในบรรณสาร “แนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลและมหาสมุทร” ยังคงใช้เพียงชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เพียงชื่อเดียวเท่านั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างนั้น ประเทศญี่ปุ่นยังคงยืนกรานว่า “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นเพียงแค่ชื่อเดียวในทางประวัติศาสตร์ที่ถูกตั้งขึ้นอย่างสากล และยังคงยึดมั่นในจุดยืนเดิม ซึ่งไม่มีหลักการหรือความจำเป็นใดๆที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น”
บรรณสารแนวเส้นแบ่งเขตทางทะเลและมหาสมุทร (Limits of Oceans and Seas) ขององค์การอุทกศาสตร์สากล (IHO) ระบุชื่ออาณาเขตทางทะเลบริเวณนี้ว่า "ทะเลญี่ปุ่น" เพียงเท่านั้น |
4. องค์การสหประชาชาติและประเทศสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น”
องค์การสหประชาชาติ ใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” อย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกานโยบายขององค์การสหประชาชาติที่มีต่อการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น”
ได้รับรองนโยบายในเรื่องว่าด้วยการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นชื่อมาตรฐานทางภูมิศาสตร์ ที่จะต้องใช้ในหนังสืออย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ”
- ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2004 สำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ตอบคำร้องของรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ในเรื่องนโยบายการใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นชื่อมาตรฐานทางภูมิศาสตร์ และจะต้องใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นชื่อมาตรฐานทางภูมิศาสตร์ ในหนังสือทางการขององค์การสหประชาชาติ จึงเป็นการยืนยันอีกครั้งว่าชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” นั้นได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีความเป็นสากลและมีจุดยืนที่เป็นกลางมากที่สุด ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกกว่า 192 ประเทศ ซึ่งรวมไปถึงประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีใต้ด้วย จึงถือเป็นการแสดงฉันทามติของประชาคมโลก
- ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งในเรื่องการใช้ชื่อทางภูมิศาสตร์ การให้ความเสมอภาคแก่แต่ละฝ่ายที่อ้างสิทธิ์ในการใช้ชื่อทางภูมิศาสตร์ด้วยการกำหนดให้ใช้ชื่อร่วมกันนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ด้วยเหตุนี้ สำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ชี้แจงว่าการกำหนดให้ใช้ชื่อร่วมกัน จะละเมิดธรรมเนียมปฏิบัติของสหประชาชาติที่ดำรงมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งสร้างความไม่เป็นกลางอีกด้วย ดังนั้นจึงสร้างความชัดเจนด้วยการดำเนินนโยบาย ใช้ชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เพียงชื่อเดียว ดังเช่นในอดีต เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางและความเป็นธรรม รวมถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
- องค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ซึ่งอยู่ในประชาคมโลก ต่างถูกคาดหวังว่าจะต้องเคารพต่อนโยบายขององค์การสหประชาชาติ ถึงแม้ว่านโยบายขององค์การสหประชาชาติ จะไม่ได้ผูกมัดกับองค์การระหว่างประเทศเหล่านั้นโดยตรง
นโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น”
- คณะกรรมการชื่อภูมิศาสตร์แห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Board on Geographic Names) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 มีหน้าที่กำหนดชื่อมาตรฐาน ทางภูมิศาสตร์ เพื่อใช้ในงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา หลักการของชื่อที่ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการนี้ มีผลบังคับใช้ในหน่วยงานราชการของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึง กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาด้วย การออกหนังสือจากหน่วยงานของรัฐบาลจะต้องสอดคล้องตามชื่อที่ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการนี้ ในขณะที่หน่วยงานอื่นๆภายในประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับการสนับสนุนให้ใช้ตามหลักการที่คณะกรรมการนี้กำหนดเช่นเดียวกัน
- คณะกรรมการชื่อภูมิศาสตร์แห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ได้ยอมรับชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เพียงชื่อเดียวในการใช้เรียกอาณาเขตทางทะเลบริเวณนั้น และกำหนดให้เป็นชื่อมาตรฐาน ซึ่งเป็นผลบังคับใช้ในหน่วยงานราชการของประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนให้ใช้ในหน่วยงานอื่นๆภายในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
แผนที่จากสำนักเลขาธิการสหประชาชาติ |
5. การตรวจสอบแผนที่โบราณของประเทศต่างๆ
จากการตรวจสอบแผนที่โบราณของประเทศต่างๆทั่วโลก โดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นการยืนยันว่าชื่อ “ทะเลญี่ปุ่น” เป็นชื่อที่นานาประเทศกำหนดขึ้นใช้ เพียงแค่ชื่อเดียว
ผลจากการสำรวจแผนที่ของชาติตะวันตกที่มีอายุจนถึงศตวรรษที่ 18 ของกระทรวงการต่างประเทศของประเทศญี่ปุ่น พบว่านอกจากจะมีการใช้ชื่อ ทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) แล้วยังมีการใช้ชื่อ Sea of Korea, Oriental Sea, Sea of China เป็นต้น แต่นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา มีการใช้ชื่อทะเลญี่ปุ่นแทนชื่อทะเลอื่นๆ
แผนที่โลก" Matteo Ricci, 1602, Beijing : Kano Collection, Tohoku University Library, Japan |
1. การศึกษาแผนที่ในหอสมุดแห่งชาติอังกฤษ (British Library) และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge)
- การศึกษาแผนที่ในหอสมุดแห่งชาติอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (โดยสังเขป)
- เนื้อหาการศึกษาแผนที่ในหอสมุดแห่งชาติอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
2. การศึกษาแผนที่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส (Bibliotheque Nationale de France)
3. การศึกษาแผนที่ในหอสมุดรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (United States Library of Congress)
4. การศึกษาแผนที่ในสหพันธรัฐรัสเซีย
5. การศึกษาแผนที่ในประเทศเยอรมนี
ผลการศึกษาแผนที่โบราณของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น จนถึงปัจจุบัน
(แสดงสัดส่วนของการใช้ชื่อกำกับอาณาเขตทางทะเลในบริเวณเดียวกันนั้นของแผนที่โบราณที่ถูกเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 19)
การศึกษาแผนที่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบชื่อต่างๆที่ระบุในอาณาเขตทะเลญี่ปุ่น |